เรารู้หรือยังว่าลูกค้า คือใคร?
บางสินค้า ซื้อเองใช้เอง
บางสินค้า
คนใช้ไม่ได้ซื้อ / คนซื้อไม่ได้ใช้
เช่น ของเด็ก ชุดเด็กต่างๆ
บางสินค้า ซื้อๆไปเถอะไม่เคยได้ใช้แต่ซื้อติดไว้
Netflix / HBO / สมาชิกฟิตเนส(อันนี้รู้นะเดือนมกราใครสมัครไว้)
ซึ่งแน่นอน หลังจากแยกประเภทได้แล้ว สิ่งที่เชื่อว่าทุกคนทำต่อมาคือ
อายุ / เพศ
แต่ถ้า คุณสามารถทำให้ละเอียดขึ้นได้หล่ะ
อายุ / เพศ / ฐานะ / เงินเดือน / Lifestyle / จังหวัดที่อยู่ / บ้านหรือคอนโด
ทำไมต้องทำเยอะขนาดนี้? เอาไปใช้ทำไรหล่ะ
แน่นอน ที่ต้องใช้เยอะขนาดนี้เพราะว่า ทำให้คุณเข้าใจว่า
ปัญหาของลูกค้าคืออะไร?
คุณจะแก้ปัญหาของลูกค้ายังไง?
เช่นผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายที่สุด
คุณอยากรวยมาก แต่ไม่อยากทำงาน ซึ่งชอบซื้อหวยเป็นชีวิตจิตใจ
ซึ่งผมมีโปรแกรมคำนวนหวย ที่การันตีว่าถูกทุกงวด ขั้นต่ำ 2 ตัว ขายให้คุณในราคา ใช้ครั้งละ 2000 บาท
คุณจะเอามั้ย ? ( อันนี้แบบเข้าใจง่ายๆ )
เมื่อคุณรู้ถึงปัญหาของลูกค้า จะทำให้คุณทำงานง่ายขึ้นเยอะมาก
- ไม่ต้องไปนั่งงมหาลูกค้าใหม่
- รู้ปัญหาที่แท้จริง
- วิธีแก้่ปัญหาที่ตรงจุด
- ลูกค้าพร้อมซื้อ
- แอดมินเข้าใจ ไม่เสียเวลา
- บลาๆๆๆ อีกมากมาย เกินกว่าจะคิดได้
ต่อมา จากลูกค้า และปัญหา
สินค้าคุณ ” ให้อะไรกันลูกค้า ”
แน่นอน ส่วนนี้คือวิธีแก้ปัญหา
สินค้าดี + แก้ปัญหา = ความยั่งยืน
ซึ่ง แบรนด์ = ความยั่งยืน
เหมือนคุณเจอสินค้าตัวนึงที่แก้ปัญหาคุณได้แบบ 100 % คุณเจอปัญหานี้มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยหายไปเลยกับปัญหานี้ จนมาเจอตัวนี้
ถ้าคุณรู้ว่าเพื่อนสนิทคุณเจอปัญหานี้เหมือนกัน คุณจะแนะนำต่อมั้ย ?
แน่นอน ถ้าไม่ได้เกลียดกันเกินไป ก็คงจะแนะนำ
ซึ่งนี่แหละข้อดีของการทำแบรนด์ เพราะลูกค้าจะเชื่อและส่งต่อคุณค่าเอง
——————————–
บทความนี้ ผมสรุปโดยความเข้าใจของผม ให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายที่สุด
( หรือเปล่านะ )
หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ใครอ่านจบ อยากให้คอมเม้น โพสของผมให้หน่อยนะครับ เป็นกำลังใจในการเขียนต่อไป ผมอยากส่งต่อสิ่งดีๆแบบนี้เรื่อยๆ ขอบคุณมากครับที่อ่านจนจบ
Chaiyasit Ponpaipan
#การตลาดเด็กหลังห้อง